กระบวนการเผาผลาญอาหารคือการทำปฏิกิริยาทางเคมีในสิ่งมีชีวิตเพื่อรักษาชีวิตให้ดำรงอยู่ต่อไป กระบวนการเหล่านี้ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถเจริญเติบโต แพร่พันธุ์และรักษาองค์ประกอบของร่างกายรวมทั้งรับมือกับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมได้
ตามปรกติ กระบวนการเผาผลาญอาหารจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ:
- กระบวนการสลายตัว — สารอินทรีย์ที่มีความซับซ้อนจะแตกตัวเป็นสารที่มีความซับซ้อนน้อยลง ซึ่งตามปรกติแล้วจะปลดปล่อยพลังงาน
- กระบวนการสังเคราะห์ – สารที่มีความซับซ้อนน้อยจะก่อตัวเป็นสารที่มีความซับซ้อนมากกว่า ซึ่งจะทำให้ต้องใช้พลังงาน [1]
ลิพิดคือไขมันที่ถูกสังเคราะห์ในตับหรือเข้าสู่ร่างกายผ่านทางอาหาร นอกจากหน้าที่ในการให้พลังงานแล้ว ไขมันยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ มีส่วนในการสังเคราะห์ฮอร์โมน การส่งกระแสประสาทและยังทำหน้าที่ที่สำคัญอื่น ๆ อีกมากมาย ไขมันทุกชนิดจะไม่ชอบน้ำและไขมันส่วนใหญ่จะไม่ละลายในเลือด ดังนั้นการเผาผลาญลิพิดจึงเป็นกระบวนการทางเคมีฟิสิกส์ที่ค่อนข้างซับซ้อนภายในร่างกาย [2]
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับการเผาผลาญลิพิดส่งผลต่อกระบวนการดูดซึม การเปลี่ยนแปลงและการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ดังนั้น จึงส่งผลอย่างมากต่อสถานะของสิ่งมีชีวิตแบบองค์รวมและอาจเป็นสาเหตุให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงได้
ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของความผิดปรกติในการเผาผลาญลิพิด ได้แก่:
- การสืบทอดจากบิดามารดาซึ่งมียีนที่ทำหน้าที่ในการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลผิดปรกติคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคน [3]
- วิถีชีวิตที่มักจะนั่งอยู่กับที่โดยไม่มีการเคลื่อนไหว
- โรคเบาหวาน [4]
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ท่อน้ำดีอุดตัน
- โรคไตเรื้อรัง
- ภาวะพร่องไทรอยด์ [5]
- ยาหรือการใช้ยาหลายประเภทร่วมกัน
ความผิดปรกติในการเผาผลาญลิพิดเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งของโรคหลอดเลือด, โรคอ้วน, ความเสื่อมของระบบประสาทและการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ และยังเป็นสาเหตุของอาการต่อไปนี้อีกด้วย:
- การขาดเอนไซม์ไลเปสของตับอ่อน [6]
- การผลิตน้ำดีบกพร่อง
- การหยุดชะงักของต่อมไทรอยด์ ระบบสืบพันธุ์และต่อมใต้สมอง
- การทำงานของไฮโปทาลามัสล้มเหลว [7]
- เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านลบสำหรับการทำงานของระบบประสาท
- ร่างกายมีกรดมากเกินไปซึ่งเกิดจากการสร้างคีโตนที่เพิ่มขึ้น [8]
- ความผิดปกติของเยื่อบุผิวในลำไส้
- การได้รับรังสีไอออไนซ์ [9]
- โรคต่างๆ เช่น ดีซ่าน ภาวะอักเสบของตับอ่อน การทำงานผิดปรกติของตับ โรควิปเปิลและอื่น ๆ [10]
เป็นที่แน่นอนว่าทุกคนจะต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพในชีวิต ซึ่งไม่เพียงแต่จะต้องทำการรักษาเท่านั้น แต่ยังต้องป้องกันการกำเริบของโรคและความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าผลลัพธ์ที่อันตรายจะทำให้เกิดการรบกวนต่อการเผาผลาญลิพิดและวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือการจัดการที่สาเหตุของโรคโดยตรงนั่นเอง
จากข้อมูลในการวิจัย เคอร์คูมินเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการป้องกันไม่ให้เกิดการก่อตัวของกระบวนการทางพยาธิวิทยาในร่างกาย [11]
เคอร์คูมินคือสารเคอร์คูมินอยด์ที่สำคัญ [12] ซึ่งพบได้ในหัวขมิ้นชัน [13]
เคอร์คูมินเป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่ได้รับการทดสอบมากที่สุดตัวหนึ่ง ผลเสียอย่างหนึ่งของการมีไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้นคือการอักเสบเรื้อรังที่ไม่รุนแรง ซึ่งนำไปสู่ภาวะเมตาบอลิกซินโดรมหรือโรคอ้วนลงพุงรวมทั้งโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษาในห้องทดลองแสดงให้เห็นว่าเคอร์คูมินคือสารเมตาโบไลต์หลักที่พบได้ในพลาสมา ซึ่งจะช่วยลดดัชนีมวลกาย ระดับฮีโมโกลบิน กลูโคสและไตรกลีเซอไรด์ได้ [14] ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย ปรับปรุงความไวของอินซูลิน ควบคุมการตายของเซลล์ไขมัน [15] และยับยั้งเอนไซม์ที่มีหน้าที่พื้นฐานในกลไกของการเกิดโรคอ้วน
ทั้งหมดนี้ทำให้เคอร์คูมินเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันหรือแก้ไขความผิดปกติของการเผาผลาญไขมันในร่างกายและโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากความผิดปกตินี้ [16] [17] [18] [19] [20] [21] [22]
นอกจากนั้น ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมในห้องทดลอง เคอร์คูมินยังแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาอีกหลายอย่าง เช่น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง ป้องกันหัวใจ ป้องกันตับ ต้านอาการซึมเศร้า เพิ่มภูมิคุ้มกัน ฯลฯ [23]
โชคร้ายที่สิ่งที่ค้นพบในเบื้องต้นเหล่านี้ไม่ได้รับการสนับสนุนให้นำมาทดลองกับมนุษย์เนื่องจากปริมาณชีวปริมาณออกฤทธิ์ที่ต่ำมากของเคอร์คูมิน ซึ่งมีไม่เกินร้อยละ 0.1 โดยประมาณ [24] ชีวปริมาณออกฤทิ์ที่ต่ำนี้ทำให้เคอร์คูมินไม่สามารถแสดงศักยภาพในการรักษาได้เมื่อได้รับในรูปของผงหรือสารสกัด
จะเห็นได้ว่าการค้นคว้าเกี่ยวกับเคอร์คูมินในห้องทดลองได้ก่อให้เกิดความสนใจในเคอร์คูมินเพิ่มขึ้นมากทั่วโลก โดยจะเห็นได้ชัดในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในแทบทุกเว็บไซต์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะมีส่วนผสมที่ทำจากผงหรือสารสกัดของขมิ้นชันจำหน่ายมากมายรวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของเคอร์คูมินที่มีต่อโรคต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก การนำเสนอข้อมูลโดยวิธีนี้ถูกนำมาใช้สร้างกรอบความคิดในเวลาที่การค้นพบจากห้องทดลองถูกตีความว่าเป็นผลจากการทดสอบทางคลินิก ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสารสกัดและผงของขมิ้นชั้นไม่สามารถทำปฏิกิริยาทางเภสัชวิทยาได้เหมือนกับที่เคอร์คูมินได้แสดงให้เห็นจากการวิจัยในห้องทดลอง การเพิ่มชีวปริมาณออกฤทธิ์ของเคอร์คูมินกลายมาเป็นหัวข้อในการวิจัยของคนหลายกลุ่มในหลายช่วงทศวรรษที่ผ่านมา [25] ในปัจจุบัน มีการพัฒนาเทคโนโลยีมากมายเพื่อเพิ่มชีวปริมาณออกฤทธิ์ของเคอร์คูมินและเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดสำหรับการนำส่งสารออกฤทธิ์เข้าไปในกระแสเลือดก็คือไลโปโซม [26]
เทคโนโลยีในการนำส่งเคอร์คูมินโดยใช้ไลโปโซมนั้นทำให้สามารถนำฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ต้องการมาใช้ในมนุษย์และสัตว์ได้ซึ่งสามารถเห็นได้จากการศึกษาทางห้องทดลองที่มีมากมายหลายพันครั้ง [27] [28]
References:
1 https://en.wikipedia.org/wiki/Metabolism
2 https://en.wikipedia.org/wiki/Lipid
3 https://en.wikipedia.org/wiki/Cholesterol
4 https://en.wikipedia.org/wiki/Diabetes
5 https://en.wikipedia.org/wiki/Hypothyroidism
6 https://en.wikipedia.org/wiki/Pancreatic_enzymes_(medication)
7 https://en.wikipedia.org/wiki/Hypothalamus
8 https://en.wikipedia.org/wiki/Ketosis
9 https://en.wikipedia.org/wiki/Ionizing_radiation
10 https://www.researchgate.net/publication/268924446_Disorders_of_Lipid_Metabolism
11 https://en.wikipedia.org/wiki/Curcumin
12 https://en.wikipedia.org/wiki/Curcuminoid
13 https://en.wikipedia.org/wiki/Turmeric
14 https://en.wikipedia.org/wiki/Triglyceride
15 https://en.wikipedia.org/wiki/Adipocyte
16 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6582779/
17 https://www.hindawi.com/journals/omcl/2020/1520747/
18 https://www.mdpi.com/2072-6643/12/1/118/htm
19 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5336246/
20 https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2213422018301069
21 https://bmcgastroenterol.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12876-019-1055-4
22 https://bmcnephrol.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12882-019-1621-6
23 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5664031/
24 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6770259/
25 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3918523/
26 https://en.wikipedia.org/wiki/Liposome
27 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3519006/
28 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5557698/