โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของระบบประสาท [1] ประมาณ 60-70% ของคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ทั้งหมดมีสาเหตุมาจากการเป็นโรคสมองเสื่อมมาก่อน [2]
ในทุก ๆ 3 วินาที จะมีคนบนโลกนี้เป็นโรคสมองเสื่อม ในปี พ.ศ. 2558 มีคนประมาณ 46.8 ล้านคนทั่วโลกที่เป็นโรคสมองเสื่อม และเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 50 ล้านคนในปี พ.ศ. 2560 ซึ่งประมาณ 60% ของคนเหล่านี้อาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง โดยจะมีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้นประมาณ 10 ล้านคนต่อปี [3]
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคอัลไซเมอร์คือกลุ่มประชากรที่มีอายุ 65 ปี โดยประเทศจีน อินเดีย เอเชียใต้และแปซิฟิกตะวันตกมีการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุมากที่สุด [4]
โชคร้ายที่ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถหาเหตุผลของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ อย่างไรก็ตาม มีการตั้งสมมติฐานของการเกิดโรคไว้ ซึ่งประกอบด้วย:
- สมมติฐาน Cholinergic เกิดจากกระบวนการลดการจับตัวของสารสื่อประสาท [5] Acetylcholine [6] ในปัจจุบัน สมมติฐานนี้ได้รับการพิจารณาว่าเป็นไปได้น้อย
- สมมติฐาน Amyloid เกิดจากการสะสมของเบต้า — อะไมลอยด์ [7] ในสมอง
- สมมติฐาน Tau เกิดจากความผิดปกติในโครงสร้างของโปรตีน Tau [8]
- สมมติฐานเกี่ยวกับการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อก่อโรค Porphyromonas Gingivalis [9] ซึ่งตั้งรกรากอยู่ในสมองและทำให้การผลิตเบต้า — อะไมลอยด์เพิ่มขึ้น
- สมมติฐาน Mitochondrial Cascade เกิดจากการทำหน้าที่ของ Mitochondria ที่ลดน้อยลง [10] ซึ่งไปกระตุ้นการแสดงออก [11] ของความชรา
- สมมติฐานเกี่ยวกับสภาวะสมดุลของแคลเซียม [12] ที่เกิดจาก Calcineurin [13] ซึ่งไปกระตุ้นปฏิกิริยาของกระบวนการอักเสบในแอสโตรไซต์ [14]
- สมมติฐานเกี่ยวกับเส้นประสาทและหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากพยาธิสภาพหรือการเปลี่ยนแปลงการทำงานของหลอดเลือดสมอง [15
- สมมติฐานเกี่ยวกับการอักเสบที่เกิดจากการตอบสนองต่อการอักเสบในไมโครเกเลีย [16] และแอสโตรไซต์
- สมมติฐาน Metal Ion ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของการเผาผลาญธาตุเหล็กในสมอ
- สมมติฐานเกี่ยวกับระบบน้ำเหลือง ที่เกิดจากความผิดปกติของการกำจัดของเสียในสมองซึ่งนำไปสู่การสะสมของเบต้า — อะไมลอยด์ในสมอง [17] [18]
โรคอัลไซเมอร์จะก่อตัวขึ้นหลายปีก่อนที่จะมีการแสดงอาการ จากการวิจัยตัวบ่งชี้ทางชีวภาพและการค้นพบที่สำคัญซึ่งได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถบ่งชี้การเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ก่อนที่อาการของโรคจะปรากฏขึ้นสิ่งนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะรับมือกับโรคอัลไซเมอร์ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและเป็นโอกาสอันดีที่สุดที่จะรักษาโรคได้อย่างสัมฤทธิ์ผล [19]
จากข้อมูลในการวิจัย เคอร์คูมินเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการป้องกันไม่ให้เกิดการก่อตัวของกระบวนการทางพยาธิวิทยาในร่างกาย [20]
เคอร์คูมินคือสารเคอร์คูมินอยด์ที่สำคัญ [21] ซึ่งพบได้ในหัวขมิ้นชัน [22]
เคอร์คูมินเป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่ได้รับการทดสอบมากที่สุดตัวหนึ่ง จากการศึกษาในห้องทดลองพบว่าเคอร์คูมินเป็นเครื่องมือในการรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันหรือรักษาโรคอัลไซเมอร์ [23] [24] ในระหว่างการวิจัย เคอร์คูมินได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการผ่านแนวกั้นระหว่างเลือดและสมอง [25] เพื่อที่จะออกฤทธิ์ในการป้องกันเซลล์ประสาทและไมโตคอนเดรีย รวมทั้งยับยั้งการสะสมของเบตาเอมีลอยด์และพิษต่าง ๆ [26] [27] [28] [29] [30]
นอกจากนั้น เคอร์คูมินยังแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาอีกหลายอย่าง เช่น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง ป้องกันหัวใจ ป้องกันตับ ต้านอาการซึมเศร้า เพิ่มภูมิคุ้มกัน ฯลฯ [31]
โชคร้ายที่สิ่งที่ค้นพบในเบื้องต้นเหล่านี้ไม่ได้รับการสนับสนุนให้นำมาทดลองกับมนุษย์เนื่องจากปริมาณชีวปริมาณออกฤทธิ์ที่ต่ำมากของเคอร์คูมิน ซึ่งมีไม่เกินร้อยละ 0.1 โดยประมาณ [32] ชีวปริมาณออกฤทิ์ที่ต่ำนี้ทำให้เคอร์คูมินไม่สามารถแสดงศักยภาพในการรักษาได้เมื่อได้รับในรูปของผงหรือสารสกัด
จะเห็นได้ว่าการค้นคว้าเกี่ยวกับเคอร์คูมินในห้องทดลองได้ก่อให้เกิดความสนใจในเคอร์คูมินเพิ่มขึ้นมากทั่วโลก โดยจะเห็นได้ชัดในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในแทบทุกเว็บไซต์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะมีส่วนผสมที่ทำจากผงหรือสารสกัดของขมิ้นชันจำหน่ายมากมายรวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของเคอร์คูมินที่มีต่อโรคต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก การนำเสนอข้อมูลโดยวิธีนี้ถูกนำมาใช้สร้างกรอบความคิดในเวลาที่การค้นพบจากห้องทดลองถูกตีความว่าเป็นผลจากการทดสอบทางคลินิก ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสารสกัดและผงของขมิ้นชั้นไม่สามารถทำปฏิกิริยาทางเภสัชวิทยาได้เหมือนกับที่เคอร์คูมินได้แสดงให้เห็นจากการวิจัยในห้องทดลอง
การเพิ่มชีวปริมาณออกฤทธิ์ของเคอร์คูมินกลายมาเป็นหัวข้อในการวิจัยของคนหลายกลุ่มในหลายช่วงทศวรรษที่ผ่านมา [33]ในปัจจุบัน มีการพัฒนาเทคโนโลยีมากมายเพื่อเพิ่มชีวปริมาณออกฤทธิ์ของเคอร์คูมิน และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดสำหรับการนำส่งสารออกฤทธิ์เข้าไปในกระแสเลือดก็คือไลโปโซม [34]
เทคโนโลยีในการนำส่งเคอร์คูมินโดยใช้ไลโปโซมนั้นทำให้สามารถนำฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ต้องการมาใช้ในมนุษย์และสัตว์ได้ซึ่งสามารถเห็นได้จากการศึกษาทางห้องทดลองที่มีมากมายหลายพันครั้ง [35] [36] [37]
References:
1 https://en.wikipedia.org/wiki/Neurodegeneration
2 https://en.wikipedia.org/wiki/Dementia
3 https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/dementia
4 https://en.wikipedia.org/wiki/Alzheimer%27s_disease
5 https://en.wikipedia.org/wiki/Neurotransmitter
6 https://en.wikipedia.org/wiki/Acetylcholine
7 https://en.wikipedia.org/wiki/Amyloid_beta
8 https://en.wikipedia.org/wiki/Tau_protein
9 https://en.wikipedia.org/wiki/Porphyromonas_gingivalis
10 https://en.wikipedia.org/wiki/Mitochondrion
11 https://en.wikipedia.org/wiki/Phenotype
12 https://en.wikipedia.org/wiki/Homeostasis
13 https://en.wikipedia.org/wiki/Calcineurin
14 https://en.wikipedia.org/wiki/Astrocyte
15 https://en.wikipedia.org/wiki/Cerebrovascular_disease
16 https://en.wikipedia.org/wiki/Microglia
17 https://www.nature.com/articles/s41392-019-0063-8
18 https://advances.sciencemag.org/content/5/1/eaau3333
19 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6417794/
20 https://en.wikipedia.org/wiki/Curcumin
21 https://en.wikipedia.org/wiki/Curcuminoid
22 https://en.wikipedia.org/wiki/Turmeric
23 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3271601/
24 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2929771/
25 https://en.wikipedia.org/wiki/Blood%E2%80%93brain_barrier
26 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5796761/
27 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6320958/
28 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5256118/
29 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5516023/
30 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5949055/
31 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5664031/
32 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6770259/
33 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3918523/
34 https://en.wikipedia.org/wiki/Liposome
35 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3519006/
36 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5557698/
37 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5077137/