สารหนูเป็นองค์ประกอบของเปลือกโลกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและกระจายอยู่ทั่วไปในอากาศ ในน้ำและในดิน
สารหนูที่อยู่ในรูปบบอนินทรีย์จะมีความเป็นพิษสูง [1] ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อสุขภาพของมนุษย์คือการใช้น้ำที่ปนเปื้อนสารหนูมาบริโภค ปรุงอาหารและทำการชลประทานเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจที่เป็นอาหาร ซึ่งจะกลายมาเป็นอาหารของมนุษย์
ในท้ายที่สุด [2]
ควรสังเกตว่าโดยธรรมชาติแล้ว จะมีสารหนูจำนวนมากปะปนอยู่ในน้ำบาดาลของหลาย ๆ ประเทศ เช่น จีน โมรอคโค ไทย เกาหลีใต้ รัสเซีย เบลเยี่ยม โบลิเวีย ญี่ปุ่น
อาร์เจนติน่า บังคลาเทศ อินเดีย เม็กซิโก สหรัฐอเมริกาและชิลี
มีการนำสารหนูมาใช้เป็นส่วนผสมในสารปรุงแต่งกันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งใช้ในกระบวนการแปรรูปของแก้ว สีย้อม สิ่งทอ กระดาษ สารยึดติดประเภทโลหะ น้ำยารักษาเนื้อไม้และในการผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ
นอกจากนั้น สารหนูยังถูกนำมาใช้ในกระบวนการฟอกหนังและบางส่วนของการผลิตยาฆ่าแมลง สารปรุงแต่งในอาหารสัตว์รวมทั้งเภสัชภัณฑ์ด้วย [3] ผู้ที่สูบยาสูบอาจได้รับความเสี่ยงจากสารหนูแบบอนินทรีย์ที่พบได้ในยาสูบซึ่งเกิดขึ้นเอง
ตามธรรมชาติ เนื่องจากต้นยาสูบซึมซับสารหนูจำนวนมากมาจากดิน [4], [5]
สารหนูสามารถกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในสัตว์และมนุษย์ได้และยังเป็นสาเหตุให้เกิดการก่อตัวของสารอนุมูลอิสระที่มากเกิน เร่งการเกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่น ส่งผลกระทบต่อกลุ่มยีนในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต โปรตีน คาร์โบไฮเดรตที่ทำหน้าที่
เป็นโครงสร้างและไขมันภายในเซลล์ได้อีกด้วย [6]
การได้รับสารหนูเป็นเวลานานจะส่งผลให้เกิดความผิดปรกติในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เช่น:
- โรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ (กล้ามเนื้อหัวใจตาย กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ความดันโลหิตสูง ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ โรคโลหิตลจางเพราะขาดวิตามินบี 12 และ hemorrhagic aleukia [7]
- มะเร็งผิวหนัง ปอด กระเพาะปัสสาวะ ตับ ต่อมลูกหมากและเม็ดเลือดขาว [8] [9]
- โรคอัมพฤกษ์/อัมพาตและโรคหลอดเลือดสมอง [10]
- โรคเรื้อรังเกี่ยวกับทางเดินหายใจส่วนล่าง
- ความผิดปกติของระบบประสาท (อาการชา, การขยายตัวผิดปรกติของอวัยวะหรือเนื้อเยื่อ, อัมพาต, อัมพฤกษ์, กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน, เส้นประสาทตาและหูอักเสบ, ความผิดปกติของหูชั้นใน, ปลายประสาทอักเสบ)
[12] [13] - ความผิดปรกติของอวัยวะสืบพันธุ์ [14] [15]
- โรคตับ รวมทั้งโรคตับอักเสบเรื้อรัง [16] [17]
- โรคเบาหวาน [18]
- ไตวายจากความเป็นพิษ [19] [20]
- กล้ามเนื้อลีบ [21]
จากข้อมูลในการวิจัย เคอร์คูมินเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการป้องกันไม่ให้เกิดการก่อตัวของกระบวนการทางพยาธิวิทยาในร่างกายที่มีสาเหตุมาจากสารพิษ [22]
เคอร์คูมินคือสารเคอร์คูมินอยด์ที่สำคัญ [23] ซึ่งพบได้ในหัวขมิ้นชัน [24] เคอร์คูมินเป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่ได้รับการทดสอบมากที่สุดตัวหนึ่ง จากการศึกษาในห้องทดลองพบว่าเคอร์คูมินเป็นเครื่องมือในการรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันหรือรักษาผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งมีสาเหตุมาจากสารหนูในร่างกาย
กลไกในการออกฤทธิ์ของเคอร์คูมินเกิดจากการป้องกันไม่ให้มีการผลิตสารอนุมูลอิสระมากเกินไป [25] การขัดขวางการทำลายเซลล์และปฏิกิริยา lipid peroxidation โดยการเพิ่มปริมาณเอ็นไซม์ [26], [27], catalase [28], superoxide dismutase [29] และ glutathione peroxidase [30] ในการกำจัดสารพิษในขั้นตอนที่ 2 เคอร์คูมินยังเพิ่มการทำงานของเทโลเมอเรส [31]
เร่งปฏิกิริยาในการซ่อมแซมดีเอ็นเอและลดการตายของเซลล์ประสาทที่เกิดจากการได้รับสารหนูเกินได้อีกด้วย [32] [33] [34] [35] [36]
นอกจากนั้น ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมในห้องทดลอง เคอร์คูมินยังแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาอีกหลายอย่าง เช่น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง ป้องกันหัวใจ ป้องกันตับ ต้านอาการซึมเศร้า เพิ่มภูมิคุ้มกัน ฯลฯ [37]
โชคร้ายที่สิ่งที่ค้นพบในเบื้องต้นเหล่านี้ไม่ได้รับการสนับสนุนให้นำมาทดลองกับมนุษย์เนื่องจากปริมาณชีวปริมาณออกฤทธิ์
ที่ต่ำมากของเคอร์คูมิน ซึ่งมีไม่เกินร้อยละ 0.1 โดยประมาณ [38] ชีวปริมาณออกฤทิ์ที่ต่ำนี้ทำให้เคอร์คูมินไม่สามารถแสดงศักยภาพในการรักษาได้เมื่อได้รับในรูปของผงหรือสารสกัด
จะเห็นได้ว่าการค้นคว้าเกี่ยวกับเคอร์คูมินในห้องทดลองได้ก่อให้เกิดความสนใจในเคอร์คูมินเพิ่มขึ้นมากทั่วโลก โดยจะเห็นได้ชัดในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในแทบทุกเว็บไซต์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะมีส่วนผสมที่ทำจากผงหรือสารสกัดของขมิ้นชันจำหน่ายมากมายรวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของเคอร์คูมินที่มีต่อโรคต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก การนำเสนอข้อมูลโดยวิธีนี้ถูกนำมาใช้สร้างกรอบความคิดในเวลาที่การค้นพบจากห้องทดลองถูกตีความว่าเป็นผลจากการทดสอบทางคลินิก ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสารสกัดและผงของขมิ้นชั้นไม่สามารถทำปฏิกิริยาทางเภสัชวิทยาได้เหมือนกับที่เคอร์คูมินได้แสดงให้เห็นจากการวิจัยในห้องทดลอง
การเพิ่มชีวปริมาณออกฤทธิ์ของเคอร์คูมินกลายมาเป็นหัวข้อในการวิจัยของคนหลายกลุ่มในหลายช่วงทศวรรษที่ผ่านมา [39] ในปัจจุบัน มีการพัฒนาเทคโนโลยีมากมายเพื่อเพิ่มชีวปริมาณออกฤทธิ์ของเคอร์คูมิน และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดสำหรับ
การนำส่งสารออกฤทธิ์เข้าไปในกระแสเลือดก็คือไลโปโซม [40]
เทคโนโลยีในการนำส่งเคอร์คูมินโดยใช้ไลโปโซมนั้นทำให้สามารถนำฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ต้องการมาใช้ในมนุษย์และสัตว์ได้ ซึ่งสามารถเห็นได้จากการศึกษาทางห้องทดลองที่มีมากมายหลายพันครั้ง [41] [42]
References:
1 https://en.wikipedia.org/wiki/Arsenic
2 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK541125/
4 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4275931/
5 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6338230/
6 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5580875/
7 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3483370/
8 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1519547/
9 https://www.hindawi.com/journals/jt/2011/431287/
10 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5742041/
11 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4821752/
12 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4026128/
13 https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S221499961400304X
14 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4786478/
16 https://bmcpublichealth.biomedcentral.com/articles/10.1186/1471-2458-12-639
17 https://www.tandfonline.com/doi/abs/10.1081/CLT-100100949?src=recsys&journalCode=ictx19
18 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4427062/
19 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4159179/
20 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4492804/
21 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4159748/
22 https://en.wikipedia.org/wiki/Curcumin
23 https://en.wikipedia.org/wiki/Curcuminoid
24 https://en.wikipedia.org/wiki/Turmeric
25 https://en.wikipedia.org/wiki/NOX2
26 https://en.wikipedia.org/wiki/Lipid
27 https://en.wikipedia.org/wiki/NAD(P)H_dehydrogenase,_quinone_2
28 https://en.wikipedia.org/wiki/Catalase
29 https://en.wikipedia.org/wiki/Superoxide_dismutase
30 https://en.wikipedia.org/wiki/Glutathione_peroxidase
31 https://en.wikipedia.org/wiki/Telomerase
32 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5580875/
33 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2274986/pdf/jcbn-41-32.pdf
34 https://www.jstage.jst.go.jp/article/jcbn/41/1/41_1_32/_pdf/-char/ja
35 http://downloads.hindawi.com/journals/omcl/2013/412576.pdf
36 https://www.tandfonline.com/doi/full/10.3109/1547691X.2011.637530
37 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5664031/
38 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6770259/
39 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3918523/
40 https://en.wikipedia.org/wiki/Liposome